เอ็มจียกขบวนยนตรกรรมร่วมงานมอเตอร์โชว์ พร้อมอัดข้อเสนอพิเศษสำหรับลูกค้าที่จองรถยนต์เอ็มจีภายในงาน โดยยังคงคอนเซ็ปรถยนต์เพื่อคนไทยที่โดดเด่นด้วยเทคโนโลยีความทันสมัย และความคุ้มค่าพร้อมเปิดโซนพิเศษโชว์ศักยภาพในการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นผ่านการจัดแสดงตัวอย่างเทคโนโลยี และนวัตกรรมชั้นเยี่ยม ห้ามพลาด Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 4 เมษายนพ.ศ. 2564 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์ อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี
บริษัท เอสเอไอซีมอเตอร์ – ซีพีจำกัด และบริษัทเอ็มจีเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัด ผู้ผลิตและผู้จำหน่ายรถยนต์เอ็มจีในประเทศไทยสะท้อนทิศทางการดำเนินงานที่ผสาน 3 องค์ประกอบสำคัญได้แก่เทคโนโลยี (Technology) ความทันสมัย (Fashion) และความคุ้มค่า (Value) สู่ยนตรกรรมคุณภาพเพื่อคนไทย พร้อมเปิดโซนพิเศษโชว์ศักยภาพในการสร้างประสบการณ์การขับขี่ที่ดียิ่งขึ้นผ่านการจัดแสดงตัวอย่างเทคโนโลยี และนวัตกรรมชั้นเยี่ยมพบกับข้อเสนอสุดพิเศษของรถยนต์เอ็มจีทุกรุ่นในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 42 ระหว่างวันที่ 24 มีนาคม – 4 เมษายนพ.ศ. 2564 ณ ชาเลนเจอร์ฮอลล์อิมแพ็ค อารีน่า เมืองทองธานี
ภายในงาน Bangkok International Motor Show ครั้งที่ 42 เอ็มจีได้ยกขบวนยนตรกรรมหลากรุ่นมาจัดแสดง นำโดย ไฮไลท์ของงานกับการเปิดตัวสู่สาธารณชนอย่างเป็นทางการของกระบะพันธุ์ยักษ์ NEW MG EXTENDER รุ่นปรับโฉมใหม่ ตามด้วยรถ SUV อย่าง MG ZS และ MG HS รวมถึงรถปลั๊กอินไฮบริดอย่าง MG HS PHEV ที่มาพร้อมสีใหม่สีเทา METAL ASH GREY อีกทั้งยังมีรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% ทั้งรุ่น MG EP และ MG ZS EV พร้อมรถ Hatchback อย่างรุ่น MG 3 ที่มาด้วยข้อเสนอสุดพิเศษที่จะทำให้ลูกค้าทุกท่านได้เป็นเจ้าของยนตรกรรมที่มีพร้อมทั้งเทคโนโลยี ความทันสมัย และความคุ้มค่า ในราคาที่เข้าถึงได้จริง นอกจากนี้ บูธเอ็มจี ยังเพิ่มเติมความพิเศษให้กับผู้ที่เข้าชมได้มีโอกาสสัมผัสกับเทคโนโลยี และนวัตกรรม ซึ่งอยู่ในรถยนต์เอ็มจีอย่างใกล้ชิด ไม่ว่าจะเป็น ระบบปฏิบัติการอัจฉริยะ i-SMART ระบบช่วยขับขี่ Advanced Driver Assistance System (ADAS) ที่มีความเทียบเท่าระบบขับเคลื่อนอัตโนมัติระดับที่ 2 (Autonomous Level 2) รวมไปถึงเทคโนโลยีรถยนต์ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า หรือ xEV ทั้งในรูปแบบรถยนต์ Plug-in Hybrid และรถยนต์พลังงานไฟฟ้า 100% (BEV) สะท้อนให้เห็นถึงความตั้งใจของเอ็มจีในการมุ่งมั่นพัฒนาเทคโนโลยีที่จะช่วยให้ผู้ใช้รถสะดวกสบาย และทำให้ชีวิตง่ายยิ่งขึ้น
นาย พงษ์ศักดิ์ เลิศฤดีวัฒนวงศ์ รองกรรมการผู้จัดการ บริษัทเอ็มจีเซลส์ (ประเทศไทย) จำกัดกล่าวว่า“ปีที่ผ่านมา แม้ภาพรวมของตลาดจะถดถอย แต่เอ็มจียังคงมุ่งมั่นเดินหน้าตามแผนงานที่กำหนดไว้ โดยเปิดตัวรถยนต์รุ่นใหม่ถึง 3 รุ่น รวมถึงเพิ่มจำนวนของโชว์รูมและศูนย์บริการครบ 150 แห่ง และมียอดขายรวมเพิ่มขึ้น 7% เมื่อเทียบกับปีก่อน โดยเอ็มจีเป็นแบรนด์รถยนต์ที่มียอดขายมากที่สุดในกลุ่มรถยนต์ SUV โดยเฉพาะในกลุ่ม C-SUV และยังเป็นผู้นำในกลุ่มรถยนต์พลังงานไฟฟ้าแบบแบตเตอรี่ (BEV) ทั้งนี้ ในปัจจุบัน เรามียอดขายรถยนต์เอ็มจีสะสมรวมทั้งสิ้น กว่า 100,000 คัน และในส่วนของการผลิต เอ็มจี ถือเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์พวงมาลัยขวา และได้เริ่มทยอยส่งออกรถยนต์ไปยังประเทศอินโดนีเซีย และประเทศเวียดนาม ก่อนจะขยายไปยังประเทศต่างๆ ในภูมิภาคอาเซียน รวมถึงตลาดรถยนต์พวงมาลัยขวาในประเทศอื่นๆ ในอนาคตอันใกล้ โดยเอ็มจียังคงมุ่งมั่นที่จะนำเสนอสิ่งที่ดีกว่าในทุกๆ มิติที่เป็นไปได้ และเชื่อว่าทุกสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อผู้บริโภคสามารถเกิดขึ้นได้ และดียิ่งขึ้นในทุกวัน ด้วยแนวคิด 3 แกนหลัก ได้แก่ เทคโนโลยี (Technology) ความทันสมัย (Fashion) และ ความคุ้มค่า (Value)”
ทั้งนี้ นายพงษ์ศักดิ์ กล่าวเสริมถึงความคืบหน้าของแผนงานขยายสถานีชาร์จ ล่าสุดเอ็มจีได้ติดตั้งสถานีชาร์จ ที่ศูนย์บริการเอ็มจีทั่วประเทศแล้วทั้งสิ้น 108 แห่ง และได้เปิดบริการอย่างเป็นทางการแล้ว จำนวน 70 แห่ง ซึ่งในจำนวนนี้ สามารถเปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง ได้แล้วทั้งสิ้น 22 แห่ง ครอบคลุมทั้งในกรุงเทพฯ และหัวเมืองใหญ่ ในภูมิภาคต่างๆ โดยลูกค้าสามารถใช้แอพพลิเคชั่น i-SMART ตรวจสอบเวลาการทำงาน และความพร้อมใช้งานของ MG SUPER CHARGE และยังสามารถค้นหาเพื่อทำการจอง ตลอดจนการเติมเงินและการจ่ายเงินค่าใช้บริการ และเริ่มชาร์จรถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้จากโทรศัพท์มือถือ โดยปัจจุบัน เอ็มจี กำลังเดินหน้าสู่แผนงานในระยะที่สองเพื่อติดตั้งสถานีชาร์จ MG SUPER CHARGE อีกกว่า 500 แห่งทั่วประเทศ เพื่อที่จะบรรลุเป้าหมายในการมีสถานีชาร์จอย่างน้อย 1 สถานีชาร์จ ในทุกๆ 150 กิโลเมตร ซึ่งจะช่วยลดความกังวลในการใช้รถยนต์พลังงานไฟฟ้าได้ในระยะยาว
ล่าสุด เอ็มจีได้ประกาศค่าบริการชาร์จไฟฟ้าที่ MG SUPER CHARGE ในช่วง Off Peak (วันจันทร์ – วันศุกร์ ระหว่างเวลา 22.00 – 08.00 น. และวันเสาร์ – วันอาทิตย์ ทั้งวัน) อยู่ที่ 6.50 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง และในช่วง On Peak (วันจันทร์ – วันศุกร์ ระหว่างเวลา 08.00 – 22.00 น.) อยู่ที่ 7.50 บาทต่อกิโลวัตต์ชั่วโมง” นายพงษ์ศักดิ์กล่าวสรุป