ด้วยคาแรคเตอร์ที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนของรถทั้ง 2 รุ่นส่งผลให้สมรรถนะการใช้งานที่ได้นั้นตอบโจทย์ความต้องการที่แตกต่างกันไป โดย ซิตี้ แฮทช์แบ็ก ให้ฟีลลิ่งการขับขี่สไตล์สปอร์ต ทั้งยังโดดเด่นในเรื่องของพื้นที่เก็บสัมภาระด้านหลังที่กว้างขวางมากเมื่อพับเบาะแถว 2 ลง ใช้ประโยชน์ได้ในรูปแบบที่หลากหลาย ขณะที่ ซิตี้ อี:เอชอีวี มาในสไตล์เรียบหรู และครบครันด้วยเทคโนโลยีเสริมการใช้งาน ทั้งยังมีอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงที่ยอดเยี่ยมใกล้เคียงกับที่ ฮอนด้า เคลมไว้ เหมาะสำหรับชีวิตคนเมือง คุ้มค่าคุ้มราคาที่ต้องควักเงินเพิ่มเพื่อแลกเทคโนโลยีอย่างแน่นอน
ทีมงานออโต้อาวส์ ร่วมทำการทดสอบ ฮอนด้า ซิตี้ แฮทช์แบ็ก และ ซิตี้ อี:เอชอีวี ที่เข้ามาเติมเต็มไลน์อัป รองรับการใช้งานที่แตกต่างกันภายใต้บทบาทของ สปอร์ตแฮทช์แบ็ก รุ่นล่าสุดในตลาดซิตี้คาร์ และ ซิตี้คาร์ที่มาพร้อมขุมพลังฟูลไฮบริด รุ่นแรกในเซกเมนต์ รวมถึงเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง ที่ใส่เข้ามาให้ในซิตี้คาร์ด้วยเช่นกัน โดย ฮอนด้า ได้จัดทริปทดสอบรถทั้ง 2 รุ่นบนเส้นทาง กรุงเทพฯ-เขาใหญ่ รวมระยะทางไป-กลับ กว่า 400 กิโลเมตร
โดย ซิตี้ แฮทช์แบ็ก เป็นตัวท็อปอย่างรุ่น RS มาพร้อมรูปโฉมภายนอกที่โฉบเฉี่ยวด้วยชุดแต่งสไตล์สปอร์ตรอบคัน
มาพร้อมกระจังหน้าแบบ Gloss Black และสัญลักษณ์ RS สอดรับกับไฟหน้า LED รูปทรงโฉบเฉี่ยว พร้อมเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์และไฟตัดหมอก
กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ตปรับและพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยวในตัว สปอยเลอร์หลังตกแต่งสีดำแบบสปอร์ต
เติมเต็มด้วยกันชนหน้าและหลังสไตล์สปอร์ตที่มาพร้อมดิสฟิวเซอร์ รวมถึงล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด
16 นิ้ว
จุดเด่นอยู่ที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวาง
อัปเกรดความสปอร์ตด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์ใหม่ตกแต่งด้วยแถบสีแดง โดดเด่นด้วยเบาะนั่ง
อัลตรา ซีท อันเป็นเอกลักษณ์ของฮอนด้า สามารถปรับเปลี่ยนเพื่อเพิ่มพื้นที่ใช้สอยอเนกประสงค์ได้ถึง
4 โหมด เสริมด้วยฟังก์ชั่นการใช้งาน อาทิ หน้าจอแสดงข้อมูลการขับขี่พร้อมมาตรวัดเรืองแสงสีแดงสไตล์สปอร์ต,
ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง
SIRI พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน
พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์ และระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
ทั้งยังครบครันด้วยมาตรฐานความปลอดภัยเพิ่มความมั่นใจด้วย ถุงลม
6 ตำแหน่ง ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS), ระบบกระจายแรงเบรก
(EBD), ระบบช่วยควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง (Vehicle
Stability Assist – VSA), ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (Hill
Start Assist – HSA), กล้องส่องภาพด้านหลังปรับมุมมองได้ 3 ระดับ (Multi-angle
Rearview Camera) และเทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์
ฮอนด้า คอนเนค (Honda CONNECT)
ขับเลื่อนด้วยเครื่องยนต์เทอร์โบขนาด 1.0
ลิตร DOHC VTEC TURBO 3 สูบ 12 วาล์ว รีดพละกำลัง 122 แรงม้า ที่ 5,500 รอบ/นาที สร้างแรงบิดสูงสุด 173 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000-4,500 รอบ/นาที ผสานการทำงานร่วมกับระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่อง (CVT)
เสริมการใช้งานด้วยระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ที่พวงมาลัยแบบ 7
สปีด (7-Speed Paddle Shift) และสะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ
(Cruise Control) มีอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ที่ 100
กรัม/กิโลเมตร รองรับน้ำมันได้สูงสุดถึง E20
ขณะที่ ฮอนด้า ซิตี้ อี:เอชอีวี มีเกรดเดียวคือ RS สร้างความเป็นตัวตนด้วยโลโก้ฮอนด้าสีฟ้า และสัญลักษณ์ e:HEV ที่ด้านท้าย สปอร์ตพรีเมียมยิ่งขึ้นภายใต้ชุดแต่ง RS รอบคัน ไล่เรียงจากกระจังหน้าและสปอยเลอร์หลังแบบ Gloss Black ไฟหน้าแบบ LED พร้อมเดย์ไทม์รันนิ่งไลท์
รวมถึงไฟตัดหมอกแบบ LED กระจกมองข้างสีดำแบบสปอร์ต พร้อมไฟเลี้ยวในตัว
และล้ออัลลอยดีไซน์สปอร์ตขนาด 16 นิ้ว
ภายในห้องโดยสารกว้างขวาง ผสานอารมณ์สปอร์ตและความหรูด้วยเบาะหนังกลับดีไซน์สปอร์ตตกแต่งด้วยด้ายสีแดง
ทั้งยังครบครันด้วยฟังก์ชันการใช้งาน มาพร้อมมาตรวัดพร้อมหน้าจอแสดงข้อมูล การขับขี่แบบ
TFT
ขนาด 7 นิ้ว ช่องปรับอากาศตอนหลัง และระบบสตาร์ทเครื่องยนต์พร้อมเครื่องปรับอากาศด้วยกุญแจรีโมท
ระบบเครื่องเสียงหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว แบบ Advanced Touch รองรับการเชื่อมต่อ Apple CarPlay และระบบสั่งการด้วยเสียง
SIRI พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชัน
พร้อมปุ่มควบคุมระบบเครื่องเสียงและปุ่มรับ-วางสายโทรศัพท์
จัดเต็มด้วยเทคโนโลยีความปลอดภัยอัจฉริยะ ฮอนด้า เซนส์ซิ่ง
ได้แก่ ระบบเตือนการชนพร้อมระบบช่วยเบรก, ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบแปรผัน, ระบบเตือนและช่วยควบคุมเมื่อรถออกนอกช่องทางเดินรถ,
ระบบช่วยควบคุมรถให้อยู่ในช่องทางเดินรถ และระบบปรับไฟสูงอัตโนมัติ ทั้งยังครบครันด้วยมาตรฐานความปลอดภัย
พร้อมด้วยเทคโนโลยีเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารระหว่างผู้ขับขี่และรถยนต์ ฮอนด้า
คอนเนค เสริมด้วยระบบแสดงภาพมุมอับสายตาขณะเปลี่ยนเลน, เบรกมือไฟฟ้า, ระบบ Auto
Brake Hold และระบบล็อกรถอัตโนมัติเมื่อกุญแจรีโมทอยู่ห่างจากตัวรถ
มาพร้อมระบบขับเคลื่อน Sport Hybrid intelligent Multi-Mode Drive (i-MMD) ผสานการทำงานอันทรงพลังของมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว กับเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร Atkinson Cycle DOHC i-VTEC 4 สูบ 16 วาล์ว พร้อมด้วยระบบเกียร์อัตโนมัติอัตราทดแปรผันต่อเนื่องไฟฟ้า (E-CVT) และแบตเตอรี่ลิเธียม-ไอออน มอบแรงบิดสูงสุด 253 นิวตัน-เมตร ที่ 0-3,000 รอบ/นาที โดย ฮอนด้า เคลมอัตราการประหยัดน้ำมันที่ 27.8 กิโลเมตร/ลิตร ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยอัตราการปล่อยก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์เพียง 85 กรัม/กิโลเมตร และรองรับน้ำมัน E20