“MG HS นับเป็นอีกหนึ่งตัวเลือกที่น่าสนใจในคลาส
ซี-เซ็กเมนต์ เอสยูวี ด้วยสมรรถนะ อุปกรณ์อำนวยความสะดวกที่จัดเต็ม
ไปจนถึงระบบความปลอดภัยที่มีให้ใช้งาน และที่สำคัญ
การทำราคาจำหน่ายที่เรียกได้ว่าเหมาะสม และเป็นมิตรกับผู้ใช้อย่างโดดเด่น
จะมีก็เพียงเรื่องความใหม่ของแบรนด์
ที่อาจจะทำให้ผู้ที่กำลังสนใจอาจจะยังเป็นห่วงในระยะยาวในเรื่องของราคาขายต่อ
อันเป็นเรื่องของอนาคตที่คาดเดา แต่ถ้ารวบรวมทั้งจุดเด่นและจุดด้อยกันแล้ว HS
คันนี้ยังคงครองความโดดเด่นได้ดี จากกระแสตอบรับที่มาแรงในตลาดซี-เซ็กเมนต์ เอสยูวี”
ในยุคที่ประโยชน์ใช้สอยเป็นเรื่องที่หลายๆ
คนนึกถึงเป็นลำดับแรกอย่างในยุคปัจจุบันนี้
เราจะเห็นได้ว่ารถในกลุ่มรถอเนกประสงค์ทั้งเหล่า MPV มาจนถึง
SUV นั้น มีการเติบโตแตกแขนงรุ่นย่อยออกมามากมายในแต่ละยี่ห้อ
เรียกได้ว่า ล้วนส่งรถรุ่นใหม่เข้าสู่ตลาดรถในสองกลุ่มนี้กันอย่างคึกคัก MG
ในฐานะแบรนด์น้องใหม่ในตลาดรถยนต์บ้านเรา
ก็เป็นอีกค่ายหนึ่งที่มาแรงกับการเปิดตัวรถมากมายหลากหลายรุ่น ทั้งรถเก๋ง รถกระบะ
รถตู้ รถ SUV ไปจนถึงรถไฟฟ้า
เข้าสู่ตลาดแบบครบทุกเซ็กเมนต์แล้ว นับได้ว่าสามารถสร้างกระแสตอบรับได้ดีในหลายๆ
รุ่น
MG
HS เปิดตัวด้วยสามทางเลือก ที่มาพร้อมความโดดเด่น
ภายใต้ราคาจำหน่ายที่เริ่มต้นในรุ่นเล็กสุด 919,000 บาท ในรุ่น C ก่อนที่จะขยับขึ้นมาในรุ่นกลาง ที่มีออปชันเพิ่มเติมขึ้นมาอีกในราคา
1,019,000 บาท และท็อปสุด ที่จัดเต็มทั้งภายนอก ภายใน ไปจนถึงออปชันความปลอดภัย
กับรุ่น X Sunroof กับราคาจำหน่ายเพียงแค่ 1,119,000 บาท
ที่ทำให้ HS เป็นรถ SUV ในกลุ่ม C-Segment
กลุ่มเดียวกับ CR-V, CX-5
แต่มีระดับราคาเพียงแค่กลุ่ม B-Segment
อย่าง HR-V, C-HR, KICKS พร้อมสรรพด้วยมิติตัวถังที่กว้างขวาง
สะดวกสบายมากกว่า และครบครันด้วยออปชันเพียบ
หน้าตาภายนอก HS นั้น
จัดลูกเล่นมาให้อย่างอัดแน่น ตั้งแต่ ไฟหน้าใหม่แบบ LED ที่มี
Daytime Running Light ดีไซน์เก๋เป็นเอกลักษณ์ของ MG อีกทั้งยังเพิ่มความพิเศษด้วยตัวเดย์ไทม์ที่ติดตั้งอยู่ในโคมไฟหน้านั้น
ยังทำหน้าที่เป็นชุดไฟเลี้ยวที่ทำงานแบบไฟวิ่งจากในออกนอกในทันทีที่เปิดไฟเลี้ยว
เฉกเช่นเดียวกับไฟเลี้ยวในชุดไฟท้าย ที่ทำงานเป็นไฟวิ่งเหมือนกัน เพิ่มลูกเล่นที่อาจจะเรียกได้ว่าเป็นเจ้าแรกในกลุ่มราคาไม่ถึง
2 ล้านบาท ที่ใช้ไฟเลี้ยววิ่งแบบนี้ทั้งหน้าและหลังในตลาดบ้านเรา
แต่ต้องบอกว่าการทำงานของไฟเลี้ยววิ่งที่สวยนี้ จะทำงานเฉพาะในการเปิดไฟเลี้ยว
ไม่ว่าซ้ายหรือขวาเท่านั้น เพราะถ้าคุณกดไฟฉุกเฉิน ระบบไฟจะกะพริบแบบไฟเลี้ยวทั่วๆ
ไปโดยอัตโนมัติ อีกทั้งชุดไฟท้ายดีไซน์สวยที่แยกไฟออกเป็นสองส่วนในด้านบนที่เป็นไฟหรี่
ไฟเบรกและไฟเลี้ยวนั้น
ดีไซน์เก๋ที่ช่วยเพิ่มความโฉบเฉี่ยวให้มุมมองด้านท้ายได้ดียิ่งขึ้น
รับกันกับชุดท่อไอเสียปลายคู่ ซ้าย-ขวา ที่เติมความสปอร์ตได้อย่างลงตัว
จะมาติดอยู่นิดก็ตรงชุดโคมไฟถอยหลังที่แยกตัวมาอยู่กับทับทิมสะท้อนแสง ที่ยังใช้หลอดไส้แบบธรรมดา
ที่ดูขัดตาไปนิดเวลาใช้งาน
ภายในห้องโดยสาร โดดเด่นด้วยการเล่นโทนสีทูโทน สไตล์สปอร์ตดำแดง
และเพิ่มความหรูหราด้วยวัสดุหุ้มนวมที่ดูนุ่มมือในทุกๆ จุด อีกทั้งในรุ่นท็อป (X) คันที่ทดสอบนี้จะมาพร้อมภายในสีทูโทน และเบาะนั่งแบบสปอร์ต
ที่ให้การนั่งที่กระชับ รับกับสรีระได้ดีทีเดียว อีกทั้งตัวพวงมาลัยแบบสปอร์ต 3
ก้าน ที่เติมลูกเล่นไปอีกนิดกับปุ่มสีแดง SUPER SPORT ที่พร้อมปรับบุคลิกการตอบสนองของเครื่องยนต์และการทำงานของระบบเกียร์อัตโนมัติ
7 สปีด ให้กระฉับกระเฉง สปอร์ตสมกับชื่อโหมดที่เรียกใช้ จนมีความรู้สึกเลยว่า
เวลาที่กดปุ่มนี้แล้ว ดูเหมือนว่า HS คันนี้จะไม่ได้มีม้าแค่เพียง
162 ตัว ตามที่สเปกว่าไว้
เพราะอัตราเร่งที่สัมผัสได้ดูดีเกินตัวเลขนั้น
จนพาความรู้สึกไปว่าช่วงล่างที่เซตให้มานั้นไม่พอที่จะรองรับโหมดนี้สักเท่าไหร่
พาออกอาการย้วยให้เห็นกันทันทีที่เข้าสู่โหมดนี้
กลับมาที่เรื่องห้องโดยสารกันต่ออีกสักนิด กับความโดดเด่นที่ใส่ลูกเล่นมาให้ อย่าง
มาตรวัดกลางแบบดิจิทัลขนาด 7 นิ้ว ที่บอกระบบการทำงานต่างๆ ได้ละเอียดครบถ้วน
อีกทั้งที่คอนโซลกลาง HS ยังติดตั้งจอขนาด 10 นิ้ว
ที่รองรับทั้งระบบเครื่องเสียง ระบบปรับอากาศ ไปจนถึงระบบ i-smart ได้อย่างครบถ้วน
HS ขับเคลื่อนด้วยเครื่องยนต์เบนซินแบบ 4 สูบ DOHC 16
วาล์ว เทอร์โบ พร้อมระบบควบคุมการจ่ายน้ำมันแบบตรงเข้าสู่ห้องเผาไหม้ GDI ความจุ 1,500 ซี.ซี. ให้พละกำลัง 162 แรงม้า แรงบิด 250 นิวตันเมตร
ที่มีให้ใช้งานกันตั้งแต่รอบเครื่องที่ต่ำเพียงแค่ 1,700 รอบเท่านั้น
ซึ่งเมื่อผสานการทำงานร่วมกับชุดเกียร์อัตโนมัติแบบคลัตช์คู่ 7 สปีด
ให้การทำงานที่ต่อเนื่องและรวดเร็วทันใจด้วยแล้ว ทำให้ HS เป็นรถที่ขับสนุกคันหนึ่งในเซ็กเมนต์เลยทีเดียว
อีกทั้งโหมดควบคุมการขับยังสามารถปรับเลือกจากสวิตช์ที่ข้างๆ
คันเกียร์ได้อีกถึง 4 โหมด ไม่นับรวมเจ้าปุ่มแดงๆ ที่พวงมาลัย
สามารถตอบสนองต่อการใช้งานในชีวิตประจำวันได้เป็นอย่างดี
นอกเหนือจากเรื่องของสมรรถนะที่ดีเกินคาดของเครื่อง 1.5 เทอร์โบเครื่องนี้ใน HS ในเรื่องของอัตราสิ้นเปลืองที่ทำได้ ก็นับว่าน่าพอใจในระดับ 10.3 กม./ลิตร
โดยเฉพาะเมื่อนึกถึงอัตราเร่งที่มีพร้อมให้ใช้งานในทุกช่วงความเร็ว
ข้อมูลทางเทคนิค
มิติ
กว้าง x
ยาว x สูง (มม.) 1,876 x 4,574 x 1,664
ระยะฐานล้อ
(มม.) 2,720
ความกว้างล้อหน้า
(มม.) 1,573
ความกว้างล้อหลัง
(มม.) 1,584
น้ำหนักรถเปล่า
(กก.) 1,570
แบบเครื่องยนต์ 4 สูบ
เบนซินแถวเรียง DOHC 16 วาล์ว TURBO TGI
ปริมาตรความจุ
(ซี.ซี.) 1,490
กำลังสูงสุด
(แรงม้า/รอบ/นาที) 162/5,600
แรงบิดสูงสุด
(กก.-ม./รอบ/นาที) 25.48/1,700-4,400
ถังเชื้อเพลิงจุ
(ลิตร) 55
ระบบขับเคลื่อน ล้อหน้า
ระบบเกียร์ เกียร์อัตโนมัติ 7
จังหวะ
ระบบพวงมาลัย แร็ค แอนด์
พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ช่วยผ่อนแรงแบบไฟฟ้า (EPS)
รัศมีวงเลี้ยว
(เมตร) 5.95
ระบบช่วงล่างหน้า อิสระ แบบแมคเฟอร์สันสตรัท พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบช่วงล่างหลัง อิสระ แบบมัลติลิงก์ พร้อมเหล็กกันโคลง
ระบบเบรก
หน้า ดิสก์เบรก
พร้อมช่องระบายความร้อน
หลัง ดิสก์เบรก
ล้อ ล้อแม็กขนาด 18 นิ้ว
ยาง
235/50R18
ราคาจำหน่าย
1,119,000 บาท