เกรท วอลล์ มอเตอร์ส รับมอบโรงงานจาก เจนเนอรัล มอเตอร์ส จังหวัดระยอง อย่างเป็นทางการ เตรียมเดินสายการผลิตในช่วงไตรมาสแรกของปีหน้า หวังปั้นประเทศไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตในภูมิภาคอาเซียนในการผลิต รับหน้าที่ป้อนรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน และรถยนต์พลังงานทางเลือก สู่ตลาด
หลังจากที่
เกรท วอลล์ มอเตอร์ส
ได้ประกาศพร้อมเข้ามาลงทุนเพื่อสร้างฐานการผลิตในประเทศไทยช่วงต้นปีที่ผ่านมา
โดยเริ่มจากการเจรจากับเจนเนอรัล มอเตอร์ส (GM) ถึงการซื้อขายศูนย์การผลิต
ศูนย์ประกอบรถยนต์และเครื่องยนต์ที่จังหวัดระยอง ภายใต้การลงนามข้อตกลงทางกฏหมายของเจนเนอรัล
มอเตอร์ส (GM) และ เจนเนอรัล มอเตอร์ส เพาเวอร์เทรน
ประเทศไทย (GM Powertrain Thailand)
ล่าสุด
ได้บรรลุข้อตกลงและลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายโรงงานอย่างเป็นทางการ
ซึ่งโรงงานดังกล่าวจะนับเป็นฐานการผลิตยานยนต์เต็มรูปแบบลำดับที่ 11 ของเกรท วอลล์ มอเตอร์ส ทั่วโลก โดย มร.จาง เจียหมิง ประธาน เกรท วอลล์
มอเตอร์ส ภูมิภาคอาเซียนและประเทศไทย เผยว่า “แนวโน้มของอุตสาหกรรมยานยนต์
ในภูมิภาคอาเซียนกำลังเติบโตขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
ซึ่งประเทศไทยนับเป็นประเทศที่มีพื้นฐานด้านอุตสาหกรรมที่แข็งแกร่งอยู่ในระดับแนวหน้า
อีกทั้งยังได้รับการยกย่องว่าเป็นฐานการผลิตยานยนต์ที่ดีที่สุดแห่งหนึ่งของโลก”
“ทั้งยังมีความพร้อมด้านบุคลากร
ตลอดจนระบบนิเวศที่พัฒนาอย่างสมบูรณ์เพื่อรองรับอุตสาหกรรมยานยนต์ที่จะเติบโตขึ้น
การส่งมอบโรงงานหลังจากการลงนามเซ็นสัญญาซื้อขายในครั้งนี้ เกรท วอลล์ มอเตอร์ส
จะเริ่มปรับปรุงพื้นที่และวางระบบใหม่ให้โรงงานแห่งนี้เป็น Smart
Factory ตามมาตรฐาน ฐานการผลิตยานยนต์ระดับโลกของ เกรท วอลล์
มอเตอร์ส”
โดยโรงงานแห่งนี้จะรับบทบาทผลิตรถยนต์เครื่องยนต์สันดาปภายใน, รถยนต์ไฟฟ้า, รถยนต์ไฟฟ้าไฮบริด, รถยนต์ไฟฟ้าปลั๊กอินไฮบริด และรถยนต์ไฟฟ้าแบตเตอรี่
นอกจากนี้ยังจะมีการนำนวัตกรรมและเทคโนโลยีระบบการผลิตอัตโนมัติ อย่าง AI
(Artificial Intelligence) เข้ามาช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานให้ถึงขีดสุด
โดย เกรท วอลล์ มอเตอร์ส จะลงทุนในด้านอุปกรณ์การผลิต การวิจัย
และการพัฒนาผลิตภัณฑ์ให้เหมาะสมกับตลาดเมืองไทยและภูมิภาคอาเซียน
รวมถึงพัฒนาทักษะและฝีมือแรงงานในภาคการผลิตด้วยเช่นกัน
ปัจจุบัน
เกรท วอลล์ มอเตอร์ส มีศูนย์วิจัยและพัฒนากว่า 10 แห่งใน
7 ประเทศ และมีโรงงานการผลิต 15 แห่งทั่วโลก
และโรงงานในประเทศไทยกำลังจะเข้ามาเป็นโรงงานใหม่ล่าสุด
ซึ่งคาดว่าจะสามารถเดินสายการผลิตได้ในไตรมาสแรกของปี 2564 ด้วยกำลังการผลิตรถยนต์ประมาณ
80,000 คันต่อปี การลงทุนในครั้งนี้นอกจากจะช่วยเพิ่มโอกาสการจ้างงานและส่งเสริมการเติบโตของอุตสาหกรรมยานยนต์ทั้งระบบแล้ว
ยังเป็นการช่วยส่งเสริมให้การวิจัยและพัฒนาของไทยมีความก้าวหน้า
ช่วยสนับสนุนและพัฒนาอุตสาหกรรมยานยนต์รวมถึงอุตสาหกรรมที่เกี่ยวเนื่องด้วยเช่นกัน